วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Food Review] คลื่นแซ่บ ก๋วยเตี๋ยว ต้มยำ กุ้งแม่น้ำ

เป็นบทความที่ไม่ต้องตั้งชื่อเยอะครับ เพราะที่เห็นนี่ มันเป็น "ชื่อร้าน" เลยครับ ตรงตัว และยาวมาก...
คุณภรรยาผมไปเจอเขาแนะนำร้านนี้กันมาจาก Facebook ครับ วันนี้เลยแวะไปลองชิมกันซักหน่อย

ว่าแล้ว ก็คว้ากล้องกันไปครับ


ร้านนี้อยู่ในโครงการของ Boat Plaza ภูเก็ตครับ ภายในร้าน เน้น Theme สีแบบขาวน้ำเงิน ให้ความรู้สึกสดใส และสะอาดตาดีครับ


ผมชอบมุมนี้ของร้านครับ เป็นพื้นสีฟ้าทะเล ตัดรูปเงาพ่อหลวง และภาพถ่ายในแบบต่างๆ ไว้ลงตัวครับ


เจ้าของร้าน พาเรามานั่งด้านหลังที่ติดกับบึงหลังร้านครับ ซึ่งถึงจะเป็นมื้อเที่ยง แต่กลับได้ลมเย็นสบาย ไม่อบอ้าว และให้ความรู้สึกร่มรื่นดีครับ ถึงแม้จะไม่มีแอร์


หลังจากดูเมนูแล้ว ก็แอบ "ผงะ !!" กับราคาของที่ตั้งใจมากิน กับ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งแม่น้ำ ครับ เพราะ สนน ราคา ถ้วยหนึ่งอยู่ที่ 195.- ครับ


แต่ก็ เอาวะ!! ตั้งใจแล้ว ลองดู ไม่ได้กินทุกวันนี่นะ ( พลาง ปาด น้ำตา )
คุณเจ้าของร้านบอกเราว่า เลือกเส้นอะไรครับ เขาบอกว่า ขอแนะนำว่า ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก หรือ วุ้นเส้น จะเข้ากับ ต้มยำมากที่สุดครับ เพราะมันซับน้ำซุบเข้าไปพอดี ไม่อืดมาก และให้รสอร่อยกว่าแบบอื่นครับ

จริงๆ ก็ถือว่าเป็นข้อดีนะครับ คือ เวลาเราจะไปลองอะไรซักอย่าง แล้วเจ้าของร้าน อธิบายแบบนี้ เพราะมันบอกให้รู้ถึง "ความรู้" ไม่ใช่ "เชียร์ขาย" อย่างเดียว บอกให้รู้ว่า "รู้จริง" ในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ซึ่งอาจจะเรียกว่า เป็นจุดเด่นของการขายเลยก็ว่าได้

หลังจากที่สั่งแล้ว ประมาณ 15 นาที เขาก็จะยกก๋วยเตี๋ยวมาพร้อมกับจานเปล่าสำหรับใส่เปลือกกุ้งครับ น้ำซุบดูข้นแล้วแดงติดน่ากลัวไปซักนิด


แต่หลังจากลองทดลองชิมน้ำซุบ ขอการันตีเลยครับ รสชาติ "เด็ดมาก" น้ำซุบต้มยำ มัน ข้น เปรี้ยว เค็ม ทุกอย่างลงตัว แบบไม่ต้องหาเครื่องปรุงครับ น้ำซุบกลิ่นหอม แตะจมูก ในแบบที่ทำให้คิดว่า ผมไม่ได้เจอร้านที่เขาทำต้มยำเจ๋งๆ แบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว

ณ เวลานั้น ผมบอกเลยว่า ผมลืมราคา 195 บาทไปเลย (มาคิดได้อีกทีตอนจ่ายเงิน) คือให้ความรู้สึกว่า "โคตรคุ้ม" ที่ได้กินครับ

เจ้าของร้านบอกเราว่า เฉพาะน้ำสต๊อกที่ทำซุบ เขาเคี่ยวกัน 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ได้น้ำซุบที่เข้มข้นขนาดนี้


เส้นที่ผมเลือกวันนี้ เป็น ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก ครับ ซึ่งปกติ จะเป็นหนึ่งในเส้นที่ผม "ไม่เลือก" เพราะผมมองว่า มันติดๆ หนืดๆ มากที่สุด ในบรรดาเส้นทุกแบบ แต่วันนี้ ลองตามใจเจ้าของร้านดู แล้วก็บอกได้เลยครับ ว่าไม่ผิดหวัง เพราะน้ำซุบเข้ากันกับเส้นได้เป็นอย่างดี บอกให้รู้ว่า เขาทดลองแล้วจริงๆ

ซักพัก คุณเจ้าของร้าน ก็ตักเอาน้ำจิ้มซีฟู๊ดมาให้ครับ บอกว่า ให้ลองเอาส่วนของหัวกุ้ง ตัดมาลองจิ้มดู จะรู้ว่า สุดยอดมาก ... ซึ่งน้ำจิ้ม .... ลืมถ่ายครับ T_T (มันอร่อยจนลืม)

ผมลองตามที่เจ้าของร้านว่าครับ น้ำจิ้มซีฟู๊ดที่นี่ เหมือนจะออกแบบมาให้กินกับกุ้งโดยเฉพาะเลยก็ว่าได้ครับ เพราะน้ำจิ้ม จะข้น ไม่เหลวมาก รสเปรี้ยวนำ หวานเค็มตาม เหมือนแบบฉบับของน้ำจิ้มซีฟู๊ดปกติ แต่รสชาติผมบอกได้เลยว่า เหนือชั้นกว่ามาก คือถ้าจะอธิบายให้ง่ายๆ ก็ต้องบอกว่า พี่เอากุ้งต้มเกลือ มากินกับน้ำจิ้มอีกจานนี่ น่าจะสุดยอด


นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีขนมจีนบุฟเฟ่ต์ ด้วยครับ สนนราคาต่อหัว เพียง 59 บาทเท่านั้นครับ ซึ่งไม่แพงเลย เพราะที่ภูเก็ต ปกติ ก็จานละ 20-30 บาทแล้วครับ คุณกินแค่ 2 จานก็คุ้มแล้ว และเด็ดกว่านั้น ก็คงจะเป็นขนมจีนแบบเส้นสดครับ ซึ่งไม่มีสารกันบูดมากวนใจ พร้อมน้ำยาให้เลือกอีกหลายแบบ ทั้งน้ำยา แกงไตปลา น้ำพริก ครับ

สรุปกันกับร้าน "คลื่นแซ่บ ก๋วยเตี๋ยว ต้มยำ กุ้งแม่น้ำ"
แน่นอนต้องบอกว่า ความคิดส่วนตัวครับ ของเด็ด ก็คงต้องบอกว่า เป็น "ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งแม่น้ำ" นี่ละครับ รวมถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของร้านที่ให้กับลูกค้า และการเป็นคนชอบทานตัวจริง แบบที่แนะนำลูกค้าได้อย่างไม่น่าผิดหวังเลย

การตั้งราคาสินค้าจริงๆ มีถูกผสมแพงกันดีครับ คือ มีของถูกไว้เป็นตัวต่อ อย่าง บุฟเฟ่ต์ ขนมจีน หรือหากจะกินก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ก็จะตกอยู่ถ้วยละ 50 - 85 บาทครับ แล้วแต่ว่าจะเลือกอะไร และมีการทำสินค้าแนวโปรโมชั่น อย่าง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำเทมปูระ ที่สนนราคาอยู่ที่ 69.- ก็อยู่ในระดับ "พอรับได้" ครับ

แต่ข้อเสียจะอยู่ที่เครื่องดื่มครับ เพราะตั้งราคาสูงไปมากเลย เพราะจะบอกว่าสูงซักนิดคงไม่ใช่ เช่น น้ำดื่มราคา 6 บาทใน 7-Eleven ก็ขายในราคา 15 บาท น้ำอัดลม 20 บาท รวมถึงเครื่องดื่มพื้นฐานอย่างชาดำเย็นที่ราคาสูงถึง 30 บาท ซึ่งเท่ากับข้าวธรรมดา 1 จานได้สบายๆ อาจทำให้ร้านดูขายของแพงไปครับ

นั่นอาจจะมาจากสาเหตุการตั้งราคาบุฟเฟ่ต์ไว้ต่ำ จึงต้องไปอิงกำไรมาจากน้ำบางส่วน จนทำให้คนที่ต้องการทานปกติ อย่างก๋วยเตี๋ยวต้องจ่าย "แพง" ไป ทั้งๆ ที่ถ้าปรับราคา บุฟเฟ่ต์ขึ้นซักนิด ผมว่า ก็ยังคุ้มอยู่ดีครับ สำหรับคนที่ทานกันแบบจริงๆ จังๆ แล้วลดราคาเครื่องดื่มลงซักหน่อย แต่ก็จะทำให้ลูกค้าที่เขาต้องการมาทานแบบปกติรู้สึก ok กับราคาที่ต้องจ่ายครับ

และสิ่งสำคัญที่สุด หากคุณต้องการไปกินต้มยำกุ้งแม่น้ำ คือ "ห้ามใส่เสื้อขาว" เด็ดขาด เพราะหลังจากทานเสร็จ จะมีนำ้ซุบเป็นจุดๆ ติดมาด้วยครับ 555 (คุณภรรยาถึงกับด่าไม่ออก)

ว่าแล้ว ก็ลองไปชิมกันดูครับ ตามแผนที่ด้านล่างเลย ^_^


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Food Review] Riceberry ภูเก็ต

นานๆ ซักครั้ง เราจะมีงานที่ต้องขนกันไปทำงานทั้งทีมครับ หลังจากที่ตะลอนไปพบลูกค้าซะทั่วเกาะ คุณน้องก็แนะนำว่า ลองมากินกาแฟ กับเค๊กที่ร้านนี้ดูไหม เห็นเขาบอกว่าอร่อย

... แค่ได้ยินว่า เค๊ก ก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วครับ ผมกับภรรยา ตอบรับกันอย่างไว!!

ร้านที่ว่า คือ ร้าน Riceberry ครับ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าสวนหลวงภูเก็ต 


บรรยากาศในร้านตกแต่งได้สวน หรู และอลัง ดีครับ อาจมีเกร็งๆ บ้าง ตอนเดินเข้าร้าน (เกร็งว่า จะมีตังค์จ่ายค่ากาแฟไหมเนี๊ยะ)


หลังจากนั่งเอกเขนกกันแล้ว ก็ถึงเวลาสั่งเค๊กมาครับ
รายการแรก เป็น ชีสเค๊กบลูเบอรี่ ของคุณน้อง หน้าตาผ่านครับ


ส่วนของผมเป็นช๊อกโกแลตมูส..


สำหรับขนมเค๊กร้านนี้ ต้องใช้คำว่า "ใช้ได้" ครับ แต่จะบอกว่า ดี หรือสุดยอด ยังไม่ถึงกับให้ซะทีเดียวครับ รสชาติของเค๊ก จะออกกลางๆ ติดหวานจัดไปซักนิด เหมาะกับคนที่ชอบทานหวาน ซึ่งข้อเสียอย่างหนึ่งของเค๊กที่หวานมากๆ จะอร่อยคำ สองคำแรก และเริ่มเลี่ยน ในคำที่สาม


มาถึงกาแฟของคุณภรรยาครับ วันนี้ คุณเธอจัดเป็น "กาแฟมอคค่า" ครับ เพราะเรามากันซะบ่ายติดไปทางเย็นแล้ว กาแฟทีเดียว จะแรงไป ซึ่งกาแฟ ก็ตามภาพครับ คือ หน้าตายังไม่สวย และรสของกาแฟ ก็ยังไม่ผ่าน (ต้องบอกว่า วิจารณ์เทียบกับราคาของกาแฟครับ ผมคงไม่บอกว่า โอ .. กาแฟถุงละ 20 บาทนี่ มันเบิร์นเมล็ดกาแฟไม่เข้าที่ นะครับ)


และเมนูสุดท้าย ที่มานั่งทานกัน ก็คงจะเป็น "ผักโขมอบชีส" เมนูที่สุดจะสรรหามานานของคุณภรรยา ที่หลังจากติดอกติดใจ รสชาติ จากร้าน "ใบเมี่ยง" ที่นครปฐม พอเจอในเมนูปุ๊บ ก็ยอมไม่กินเค๊กกันเลยทีเดียว


แต่ก็ (เอาอีกแระ) ยังทำได้ไม่เทียบเท่าครับ ทั้งความหอมของชีส ใบผักโขมก็หั่นหยาบไป ซึ่งไม่รวมกับรอยปุปะ ซ่านกระเซ็น ที่ไม่จัดขอบถ้วยมาให้เรียบร้อยก่อนเสริฟ ก็ถือว่า ไม่ผ่านเหมือนกันครับ


โดยสรุป ถ้าอยากหาที่นั่งกินบรรยากาศ ร้านนี้ ก็ถือว่าดีครับ บรรยากาศในร้านสวย เงียบ นั่งสบาย กาแฟ พอใช้ เค๊กพอใช้ ครับ ถึงยังไงก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ซะทีเดียว

อาจจะวิจารณ์หนักไปหน่อยครับ ตามความเห็นส่วนตัว แต่หากทางร้านปรับเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม ขึ้นซักนิด จะถือว่าเป็นร้านที่น่าสนใจอีกแห่งเลยทีเดียวครับ

แต่ปากใคร ลิ้นใคร บางทีอาจจะไม่เหมือนกัน อีกอย่าง เรายังไม่ได้ลอง อาหารฉบับเต็ม หรือบางที ผมอาจจะไปช่วงที่ "ตัวจริง" ที่ทำอาหารไม่อยู่ก็ได้ ไปลองสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ตามแผนที่ด้านล่างเลยคับ

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[พาเที่ยว] มาอัมพวา ..มา.. "รีสอร์ท บ้าน ณ บางช้าง"

เวลาที่ "ตะลอน" ไปกลับ กรุงเทพ-ภูเก็ต หากมีโอกาส มีเวลา ผมชอบที่จะแวะเข้าไปที่อัมพวาอยู่เรื่อยๆ เพราะเหมือนจะบอกได้ว่า มันเป็นแหล่งรวมหลายๆ อย่าง ไว้ด้วยกัน ทั้งบรรยากาศ ธรรรมชาติที่สงบ อาหารอร่อยๆ ราคาไม่แพง วิถีชีวิตแบบเรียบง่าย รวมถึง ตลาดน้ำอัมพวาที่สุดแสนจะคึกคัก

รอบนี้ หลังจากที่ไปสรุปงานกับลูกค้าที่กรุงเทพฯ เสร็จแล้ว ก็เลยถือโอกาสมาชาร์จพลังงานให้ชีวิต ที่อัมพวา กันซักนิดครับ


รอบนี้ เรามาทดลองพักกันที่ "รีสอร์ท บ้าน ณ บางช้าง" กันครับ ต้องให้เครดิตคุณภรรยาที่แนะนำมา เพราะว่า คุณเธอเข้าไปเจอข้อมูลมาจาก Internet ว่าน่าสนใจดี


หลังจากที่ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดู (ในฐานะที่ต้องจ่ายเงิน และ ด้วยความงก อย่างเหนียวแน่น เน้นถูก) ก็เลยลองค้นหาดูว่า มันดีจริงหรือเปล่า ไปแล้ว จะเสียอารมณ์ไหม ภาพรวมของ Review ถือว่าดีครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ Facebook ของทาง รีสอร์ท เอง มีลูกค้าไปเขียนขอบคุณกันมากมาย สำหรับผมแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากๆ ท่ามกลาง Review เหล่านั้น คงจะเป็น "คุณลุง คุณป้า" เจ้าของรีสอร์ท "บ้าน ณ บางช้าง" นี่ละครับ เพราะคนจะพูดถึงเหมือนจะมากกว่าที่พักซะอีก


เมื่อแน่นอนว่า เอาละ เลือกที่นี่ละ ผมก็เลยยกหูไปที่หมายเลข 081-3037316 เบอร์คุณป้าทิพย์ ครับ "สวัสดีครับ จะรบกวนสอบถามห้องพักวันอาทิตย์นี้หน่อยครับ" เสียงตามสายตอบกลับมาว่า "ออ มีคะ จะเหมาหมดเลยทีเดียวหรือเปล่าคะ !!!! จะได้ปิดห้องไว้ให้เลย"

คือแบบ "เฮ้ย !!! " นี่มันไม่ธรรมดานะนี่นะ ... เริ่มไม่สงสัยแล้วละ ว่าทำไม คนถึงติดคุณป้าแกนัก แกกวนได้ใจนะนี่นะ ^_^ สรุป ผมได้บ้านหลังนี้ครับ ห้องพักที่นี่ปลูกเป็นลักษณะบ้านเป็นหลังๆ ครับ แล้วแต่ว่าใครชอบแบบไหน มีทั้งแบบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านทะลุถึงกันได้ แล้วแต่ลูกค้าจะเลือก แต่ที่สำคัญคือ ราคาเดียวกันหมดครับ ผมไปวันอาทิตย์ คนพักนอกจากเราแล้ว ก็มีคนพักอีกห้องหนึ่งเท่านั้น แกเลยให้เราเลือกเอาเลย จะเอาเรือนหลังไหนก็ได้ ตามที่เราชอบใจ


แกบอกว่า เวลาไปตลาดน้ำ อย่าเอารถไปนะ ให้เดินมาบอกแก เดี๋ยวแกพาไป ตรงนู้นหาที่จอดรถยาก แถมต้องไปจ่ายตง จ่ายตังค์อีก เดี๋ยวแกไปส่ง แล้วจะกลับตอนไหนก็โทรมาบอกนะ เดี๋ยวจะไปรับ เดี๋ยวเรานัดกัน ว่าไปเจอกันตรงไหน

ผมว่า ผมคิดไม่ผิดแล้วละครับ ที่มีโอกาสมาพักที่นี่ มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของเข้ามาพักผ่อนอย่างเดียว แต่การได้รู้จักคุณป้าแก ผมบอกได้เต็มปากว่า "แก ไม่ธรรมดา" จริงๆ ครับ

เพราะถ้าเราดูทำเลแล้ว ที่พักที่นี่ ห่างออกไปจากตลาดน้ำประมาณ 1.8 กม. ซึ่งถือว่า หากเดินก็พอเหนื่อยเหมือนกันครับ แต่หากจะขับรถกันไป ก็ต้องไปเสียค่าจอดอีกซึ่งราคาเฉลี่ยที่ 40 บาท ซึ่งหากเรามองจุดนี้ มันกลายเป็นข้อด้อยสำหรับการมาพักที่ "บ้าน ณ บางช้าง" แต่การบริการแบบไม่คิดมูลค่าแบบนี้ กลายเป็นทั้ง "จุดขาย" และเป็น "น้ำใจ" ของที่พักไปแทนครับ

ณ จุดนี้ คุณมีเจ้าของโรงแรม ขับรถพาไปตลาดน้ำ และจะไปรับกลับ เมื่อคุณเที่ยวเต็มที่แล้ว

ถือว่า จบช่องโหว่ของที่พักได้สมบูรณ์แบบที่สุดครับ นอกจากนั้นหากตอนกลางวันคุณอยากจะออกไปเที่ยวที่ไหนแบบตระเวนไปละก็ คุณป้า มีมอเตอร์ไซค์ให้ยืมใช้ แบบไม่ต้องมาพูดเรื่องค่าเช่ากัน


บรรยากาศภายในห้องพัก ถือว่า ok ครับ จัดบรรยากาศในห้องพักได้ดีระดับหนึ่ง เน้นผ่อนคลาย มากกว่า หรูหรา อลังการ

แนวคิดของที่นี่ จะเป็นแนวที่ให้คุณรู้สึกเหมือนคุณมา "เยี่ยมญาติ" มากกว่าที่จะบอกว่า คุณมาพัก "โรงแรมหรู อยู่อย่างวังเวง" ครับ เขาเก็บรายละเอียดแบบตีโจทย์ปรับข้อด้อย ให้กลายเป็นข้อเด่น ได้ทั้งหมดครับ มีหลายแนวคิดที่น่าสนใจอย่างไม่น่าเชื่อครับ

ถ้ามองในเชิงบริหารแล้ว ผมว่า "บ้าน ณ บางช้าง" ทำให้คุณติด "คน" ได้มากกว่าติด "แบรนด์"

การติด "คน" นั้น ทำให้ปัญหา ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายไปหมด แต่ก็เป็นเรื่องยาก แบบที่ใช่ใครก็จะทำได้ครับ คิดง่ายๆ หากคุณเจอว่า อันนั้นเสีย อันนี้ไม่มี ในห้องพักราคาเดียวกัน คุณคงต้องโวยวาย โวกเวก กันพอสมควร และดีไม่ดี คุณจะบอกว่า "แมร่ง ทำงานชุ่ยมาก !! " แต่เมื่อติด "คน" แล้ว หากไม่มีอะไรเสียหายมากไป เราจะรู้สึกว่า "ช่างเหอะ นิดๆ หน่อยๆ จะเอาอะไรมาก"

เรื่องเดียวกัน กับความรู้สึกที่ต่างกัน ....


หลังจากที่เข้าห้องพักได้ไม่นาน ก็เจอพายุฝนครับ ก็เลยได้นั่งชิวๆ ดูสายฝนกระทบใบไม้

จริงๆ แล้ว ผมมาถึงที่พักเอาเกือบบ่ายสามแล้วครับ เพราะช่วงเช้า ไปเตร็ดเตร่ แหวกว่ายกับกองหนังสือ มากมายในงานหนังสือแห่งชาติ พอตกตอนเที่ยงนิดๆ คุณป้าทิพย์ ก็โทรมาหาผมครับ
"ฮัลโหล ... คุณฐิติใช่ไหมค๊า.า. นี่ป้าทิพย์นะ ถึงไหนกันแล้วจ๊ะ"

เอาจริงๆ เลยนะ ผมก็ยังสงสัยว่า "ป้าทิพย์ ไหนวะ !! " เลยถามว่า
"เอ่อ .. โทษนะครับ ป้าทิพย์ จากที่ไหนครับเนี๊ยะ"

แกเลยบอกว่า "ออ จาก บ้าน ณ บางช้าง อัมพวา ค่าา.. จะโทรมาถามว่า ลืมนัดป้าหรือเปล่า เห็นยังไม่มาเลย ตกลงสะดวกเข้ามาไหมคะ ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรนะ บอกป้าได้"

นั่นงะ ... นี่ดูหนังสือนานไปนะ


เลยรีบบอกว่า "ไปครับป้า ไปแน่นอน พอดีไปซื้อของนิดหน่อยครับ ตอนนี้กำลังจะออกจากกรุงเทพฯ แล้ว" แกบอกว่า "ok เดี๋ยวถ้าถึงสวน ร.2 โทรหาป้านะ ป้าจะบอกเส้นทางให้" เลยบอกแกว่า ไม่เป็นไร เพราะเราตั้ง GPS ตรงไปหาแกเรียบร้อยแล้ว


อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ พอมาถึงแล้ว คุณป้าก็พาดูห้อง ให้เราเลือก ซึ่งจากเลือกห้องแล้ว เราก็เลยถามเรื่อง Check in และจะจ่ายค่าห้องพักกันครับ

คุณป้าบอกว่า "ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องพิธีอะไรมาก ไปเที่ยวให้เสร็จ ไปกินให้เสร็จ นอนให้เต็มตื่น จะกลับตอนไหน ค่อยมาจ่าย"

เราก็บอกว่า พรุ่งนี้ เราต้องออกเช้านะ เดี๋ยวจะไม่สะดวก หากต้องมาเคลียร์เงินกันตั้งแต่ตี 5 - ตี 6 จ่ายซะก่อนเถอะ แกบอกว่า "ไม่ต้องกลัวไม่ได้จ่ายนะ รับรอง หากไม่จ่าย ป้าไม่ให้ไปจากที่นี่แน่ !!! "

ยอมรับว่า แกกวนได้ใจ จริงๆ ครับ คือไม่ใช่แค่กวน แต่ "ได้ใจ" ลูกค้าเต็มๆ เพราะปกติ ที่พัก จะต้องให้เราชำระเงินก่อนครับ จะได้ชัวร์ๆ ว่า เขาจ่ายแน่นอนนะ แต่ที่นี่ แกทำแนวเหมือนเพื่อนกัน ญาติกัน เรื่องเงินมาทีหลัง เรื่องพักผ่อนต้องมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ไม่ต้องจ่ายนะ "จ่าย" เหมือนกัน

พูดง่ายๆ เงินเข้ากระเป๋าเหมือนกัน แต่ความรู้สึกต่างกัน


สรุป ก็ต้องว่าตามที่ป้าบอกครับ คือ จะ Check out ค่อยมาจัดการค่าห้องพัก แล้วแกก็ถามเวลาเราว่า จะกลับกันตอนไหน แกจะเตรียมข้าวไว้ให้

แต่ว่าเป็นเช้าวันจันทร์ เดี๋ยวแกซื้อข้าวมันไก่มาให้นะ เพราะที่นี่ ร้านรวงไม่ค่อยเปิดกันเท่าไหร่ในวันธรรมดา ทานเป็นข้าวมันไก่นะ

เอาละซิ เราบอกว่า ข้าวไม่เป็นไรครับ เพราะเราจะออกกันตั้งแต่เช้า ช้าสุด ไม่เกิน 07:00 เพราะไม่งั้นกว่าจะถึงภูเก็ตมันจะดึกมากไป


แกบอกว่า ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่กินไม่ได้นะ คุณลุงก็เดินออกมาประกบว่า "กินหน่อยเถอะครับ เดี๋ยวเราจะกำไรมากเกินไป คุณจะเดินทางกันตอน 7 โมงเช้า งั้นเดี๋ยวตี 6 กว่าๆ ผมออกไปซื้อให้เลยแล้วกันครับ จะได้ทานอะไรกันก่อนเดินทาง"

มามุกนี้กันเลยทีเดียว เราก็พยามบอกว่า อย่าเลย พักผ่อนกันเถอะครับ เพราะเราเองก็ค่อยไปกินระหว่างทางเอาก็ได้ แต่สรุป ก็ต้องยอมแกอยู่ดี เอาก็เอา จัดมา...


ทำไป ทำมา คืนนั้น หลังจากที่นั่งทานอะไรกันเสร็จแล้ว เราก็สรุปกันว่า พรุ่งนี้ เราขยับเดินทางกันซัก 08:00 ละกัน พักผ่อนกันให้เต็มที่ แล้วก็ไม่ต้องรบกวนเขาเช้ามากนัก

ก็เลยเดินไปบอกแกว่า เลื่อนเดินทางเป็น 08:00 แล้วกันครับ พรุ่งนี้ป้าได้ไม่ต้องรีบร้อนไปเตรียมของ เราเองก็ได้พักผ่อนกันให้เต็มที่ก่อนออกเดินทาง


มีคำพูดที่ว่า "เมื่อคุณทำงานที่คุณรัก คุณจะไม่ต้องคิดอะไรอีกทั้งชีวิต" เพราะ เมื่อทำงานกับสิ่งที่เรารักแล้ว เราจะทำมัน โดยไม่ต้องรอให้ใครสั่ง หรือยึดถือกฏเกณฑ์ให้มากเรื่อง นับว่า "บ้าน ณ บางช้าง" ทำให้เห็นถึงคำตอบนี้ได้อย่างชัดเจนครับ


ถ้านี่คือ "งาน" จะเป็นการให้บริการกับ "ลูกค้า" แต่หากนี่เป็นสิ่งที่รักที่จะทำ มันจะกลายเป็นการให้บริการกับ "เพื่อนๆ" หรือ "ลูกๆ หลานๆ"

สองอย่างนี้ แตกต่างกันในเรื่อง ความ "ตึง" ที่มีต่อกัน ระเบียบ แบบแผน ขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องมี เมื่อมี "ใจ" ที่จะให้บริการ

ลูกค้าก็สบายใจ คนให้บริการ ก็มีความสุข


ช่วงกลางคืน ผมเดินออกไปหยิบของในรถ คุณป้า ก็มีตะโกนบอกว่า "นอนตามสบายนะ ไม่ต้องกังวลเรื่องรถ ป้านอนตรงนี้ เดี๋ยวดูให้ ประตูปิดไว้เรียบร้อย ไม่ต้องห่วง" ก็เลยถือโอกาสยืนสนทนากับแกนิดหน่อย

มีข้อความหลายช่วงหลายตอนที่น่าสนใจครับ เช่น

"แกก็แต่งตัวของแกแบบนี้ละ ยิ่งลุงยิ่งพอกัน ใครไม่รู้ เขาก็นึกว่าคนสวน บ่อยๆ พวกวัยรุ่นไม่รู้ว่าแกอะ เป็นเจ้าของ เขาก็นึกว่าเป็นคนสวน เลยทำท่าทำทาง เหมือนอะไรอะ เอาคนสวนมาขับรถให้ฉันนั่ง พอมารู้ทีหลังว่าเป็นเจ้าของก็ทำหน้าจ๋อยๆ ท่าที เปลี่ยนไป

แกว่า แต่แกก็ไม่ได้ถืออะไรหรอก เราก็ทำงานของเราไป ใครจะมองยังไงก็ช่าง เขากลับไป เขามีความสุขก็พอแล้ว"


"เนื้อที่นี่อะ จริงๆ ยังปลูกห้องได้อีกเยอะนะ แต่ไม่เอาแล้วละ ถึงมันได้เงินเยอะ แต่ก็ไม่คุ้มกับคนที่เขามาพักกับเรา เขาจะมาพักผ่อน เขาอยากได้อะไรที่มันสบายๆ ไม่ใช่มองแล้วอึดอัด แค่นี้ก็พอแล้ว เขาก็มีความสุข เราก็มีความสุข"


อาจจะถือเป็นบทความแรกที่เขียนเรื่องยาวมาก และมีภาพเยอะมากด้วย แต่อันนี้ ขอการันตีนะครับ ว่าไม่มีผลประโยชน์ใดๆ กับทางที่พักครับ Blog ผมเขียนด้วยความพึงพอใจ ไม่รับจ้างเขียนครับ อะไรเจ๋ง อะไรดี ก็เอามาแนะนำกัน อันไหนแย่ ก็ไม่เอามาเขียนครับ ผมไม่ได้เขียน Blog เป็นอาชีพ อีกอย่าง ถ้าถูกจ้างเขียน มันเขียนไม่มันส์ ^_^

ช่วงเช้าๆ คุณป้าจะเอานกหลากหลายแบบมาปล่อยไว้ตรงมุมทานกาแฟครับ ให้ลูกค้าได้ชมกันแบบใกล้ชิดติดตัวกันเลยทีเดียว


ถ้าสังเกต จะพบว่า เป็นนกฝั่งตระกูล "นกแก้ว" เยอะครับ คุณป้าบอกว่า แรกเริ่ม ลูกคุณป้าเอามาเลี้ยง พอเลี้ยงไปเลี้ยงมา มันเอามาเพิ่มทีละตัวสองตัว


นกพวกนี้ เชื่อง และคุ้นคนมากครับ ไม่มีอาการตื่นคนเลย เราเข้าไปใกล้ๆ ได้ครับ แต่ระวังนกตัวโตๆ ไว้บ้างก็ดีนะครับ เพราะถึงเขาไม่ทำอันตรายใคร แต่นกพวกนี้ กรงเล็บจะคมมาก



นกหงส์หยก ก็มีนะครับ



ช่วงเช้า ก่อนทานอาหาร คุณป้าก็ให้เราชงกาแฟดื่มกันตามสบายครับ และมีขนมปังกรอบเนยกระเทียมมาเสริฟด้วย


ซึ่งนอกจากเสริฟเราแล้ว เจ้านกพวกนี้ ก็ทานด้วยเหมือนกันครับ ซึ่งก็ถือเป็นครั้งแรกเลย ที่ได้เห็นนกทานอะไรแบบนี้ น่ารักจัง ^_^


ไม่ต้องสงสัยแล้วละ ว่าทำไม ลูกค้าประจำที่นี่เยอะนัก
จริงๆ แล้ว แค่ได้คุย ได้รู้จักกับคุณป้า คุณลุง ที่ "รีสอร์ท บ้าน ณ บางช้าง" ผมว่า เรื่องที่พัก กลายเป็นของแถมแล้วละครับ

ใครอยากรู้ว่า ทำไมผมถึงประทับใจนัก ลองไปเจอ ลองไปโดน ตามแผนที่ด้านล่างเลยครับ


วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Food Review] อาหารญี่ปุ่นจานโต ที่ Outeru Suisan Japanese Seafood Restaurant

   หลังจากเสร็จสิ้น เทศกาลกินเจ และเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาตลอดช่วงเทศกาล เราก็ได้แวะมาลองอาหารญี่ปุ่นแบบแจ่มๆ ที่ "Outeru Suisan Japanese Seafood Restaurant" ซึงพึ่งจะได้มีโอกาสลองเป็นครั้งแรก


ร้าน Outeru Suisan Japanese Seafood Restaurant เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น เล็กๆ บนถนนมนตรี ภูเก็ตครับ บรรยากาศภายในร้านเน้น โทนสีเนื้อไม้ แบบญี่ปุ่น ให้ความรู้สึกอบอุ่นดีครับ


อย่างหนึ่งที่เป็นทั้งข้อดี และไม่ดี ก็อยู่ตรงนี้ครับ คือ ที่นี่ เกือบทุกเมนู จะเสริฟอาหารแบบจุใจมากครับ ที่บอกว่าเป็นข้อดี และไม่ดี ก็ตรงที่ว่า ข้อดีคือ คุณไม่ต้องกลัวไม่อิ่มเลยครับ ยิ่งเป็นคนทานน้อย เพียงแค่จานเดียวก็อิ่มมากแล้วครับ รวมถึงเมื่อเทียบกับราคาอาหารแล้ว ก็ถือว่า ไม่ถึงกับโหดร้ายกับคุณภาพที่ได้ครับ ... แล้วทำไมถึงบอกว่า เป็นข้อไม่ดี ... ก็ตรงที่ โอกาสจะสั่งอย่างที่ 2 - 3 จะต้องแน่ใจว่า เตรียมกระเพาะมาเต็มที่แล้วครับ ไม่งั้น คุณอาจจะต้องให้เขาห่อกลับบ้าน


แต่ถ้าอยากทานหลากหลาย อย่างซูชิ จริงๆ ก็มีแบบจานแยกแบบนี้เหมือนกันนะครับ แต่ราคารวมๆ แล้ว จะแพงกว่าสั่งเป็นชุด


อีกเมนูที่น่าสนใจครับ เป็นชุดไก่ทอดแบบนี้ ที่เสริฟมาพร้อมกับ ไข่ยางมะตูม มายองเนส ผักกาดดองหั่นฝอย และ "สากกะเบือ" !!! อันหลังนี่ พิมพ์ไม่ผิดนะครับ คือ จะใช้บดส่วนผสมต่างๆ เข้าด้วยกันครับ ทานคู่กับไก่ทอด ซึ่งรสชาติ เค็มมันของมายองเนส และเปรี้ยวอ่อนๆ ของผักดอง และหอมมันของไข่ยางมะตูม จะทานเข้ากันดีกับไก่ทอดครับ


ชุดรวมของทอดครับ ... ชุดนี่ ราคาติดแพงไปนิด


ข้าวปั้นไข่กุ้ง ที่เสริฟไข่กุ้งมาแบบเหลือเฟือ


ข้าวกระเทียม เสริฟมาชามโดมากครับ ต่อให้เป็นคนทานจุ ก็ไม่น่าจะต้องสั่งเพิ่ม


ชุด Set ซูชิ ครับ ชุดนี่ เป็น Set Lunch เสริฟพร้อมกับซุปมิโซะ อร่อยมากครับ ปลาดิบ ไม่มีกลิ่นคาวรบกวนใจเลย หรือ ทาโกยากิ ก็ไม่เหนียวหนึบ แบบเคี้ยวไม่ออก โดยรวมถือว่าดีครับ


และอีกชุด เป็นปลาซาบะย่างซีอิ๊ว กับข้าวญี่ปุ่น

โดยรวม ถือว่า อาหารที่นี่ รสชาติดีครับ ราคาพอใช้ ไม่ถึงกับแพงจนเกินเอื้อม แต่ก็ไม่ถูกซะจนไปได้ทุกวัน รอบนี้ได้ไปสังสรรค์กันหลายคนครับ ก็เลยได้ทดลองกันหลายเมนูหน่อย ใครอยากลอง จัดแผนที่กันไปเลยจ้า




ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

[Food Review] R&B Coffee Restaurant ภาคต่อ ..

หลังจากที่ได้ไปชิมอาหารกันไปรอบแรกแล้ว คุณภรรยา น่าจะติดใจเอาพอสมควร แต่รอบที่แล้ว เราต้องไปพบลูกค้ากัน เลยไม่มีเวลาได้นั่งกินขนมเค๊กกัน คุณภรรยา ก็เลย Facebook ท้ากันเลยว่า


ก็ได้แต่นั่งนึกว่า .... นี่ไปตกลงกับเจ๊แกตอนไหนฟระ !! .... วันนี้ โชคดีที่มีคุณน้องตะลอนมาจาก สุราษฎร์ธานี แวะมาทักทายกัน ก็เลยถือโอกาส มากันอีกซะเลย จะได้กินเค๊กกันซะที ^_^


วันนี้ ร้านมีจัดรูปแบบใหม่ด้วยครับ แต่เริ่มมีลูกค้าบ้างแล้ว เลยยังไม่ได้ถ่ายบรรยากาศในร้านมาฝาก (เดี๋ยวโดนลูกค้ารายอื่น ขว้างจานใส่ 555) จัดไฟใหม่ สวยขึ้นครับ


วันนี้ จัดจานแรก กับสลักผัก เหมือนเดิมครับ เพราะคุณภรรยาติดใจน้ำสลัดของที่นี่มาก เป็นน้ำสลัดแบบครีมครับ รสเข้มข้นมาก เข้ากันกับผักสดในจาน


เมนูถัดมาวันนี้ เป็น ลาบวุ้นเส้น ครับ เมนูนี้ รสชาติ ติดเผ็ดร้อนในแบบฉบับ ลาบ แซ่บ หอมข้าวคั่ว ตัดรสเผ็ดด้วยวุ้นเส้น และผักเครื่องเคียง


รายการต่อมา เป็นเมนู ยำก้านคะน้ากรอบ ครับ รสเผ็ด เปรี้ยว เค็ม ตามด้วยหวานเล็กน้อย ก้าน และผักคะน้า เลือกไว้ได้ดีครับ กรอบ อร่อย ไม่มีส่วนแข็ง ส่วนเหนียว โผล่มาให้รู้สึกแย่


และ เมนูนี้ ครับ บอกตรงๆ ตอนเห็นครั้งแรก ก็ยังคิดว่า สั่งอะไรกันมาเนี๊ยะ ..
เมนูนี้ เป็น "กุ้งกระเทียมโทน" ครับ เสริฟมาพร้อมกับน้ำจิ้ม เห็นแบบนี้ ขอบอกว่า การันตี เลยครับ ว่า อร่อยมากๆ โดยเฉพาะ เจ้ากระเทียมโทน ที่หวาน หอม เป็นพิเศษ และจุดเด็ดคือ กรองเอารสเค็มเปรี้ยวจัด ออกไปได้มากพอที่จะเหลือไว้แต่ความหอมหวานและกลิ่นเฉพาะของกระเทียมโทน ได้อย่างครบถ้วนเลยทีเดียว .. กลายเป็นจานโปรดที่ผมแนะนำครับว่า หากมาร้านนี้ "สั่งเลย" ครับ ไม่ผิดหวัง


และแล้ว ก็มาถึง เมนู เค้ก ... กันซักที
ประเดิมชิ้นแรกด้วย "เค้กบานอฟฟี่" ด้านบนเป็นชั้นครีมละเอียด หนา นุ่ม ปรุงรส หวานและเค็มอ่อนๆ ไม่ทำให้รสชาติเลี่ยน ตามมาด้วยชั้นกล้วย และชงโกแล็ตเค๊กเรียงเป็นชั้นด้านล่าง เค้กนุ่มละมุนชั้นบน และกรุบกรอบชั้นล่าง เข้ากันเป็นอย่างดี


ตามมา ติด ติด กับ "แมงโก้ ชีสเค้ก" ที่ด้านบนนุ่มด้วยชั้นเค๊กครีมนุ่มผสมเนื้อมะม่วงและ หลั่นลงมากับชั้นของชี๊สเค๊กผสมมะม่วงและเจลาติน และรองฐานด้วยเคร๊กเกอร์บดผสมเนย ไม่เปรี้ยวมาก และไม่หวานจัด ครับ


และชิ้นสุดท้ายกับเค้กที่ผมเลือก กับ เค้กช๊อกโกแลต ครับ เป็นเค้กช๊อกโกและ ปะหน้าด้วย Kit Kat เนื้อครีมช๊อกโกแลต ถือว่าทำได้ลงตัวมากครับ ไม่หวานจัด มีรสขมอ่อนๆ ในแบบฉบับของดาร์กช๊อกโกแลต


ส่งท้ายกันด้วยเครื่องดื่ม "โยเกิร์ตสมูทตี้" ครับ
รอบนี้ ได้จัดกันหลายเมนูซักหน่อย เลยเอามาเป็นภาคต่อให้ครับ ใครอยากลองละก็ ไปกันที่ร้าน R&B Coffee Restaurant ตามแผนที่เลยครับ


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น