วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Food Review] อร่อยหรู ดูงดงาม ที่ "คุ้มขันโตก" เชียงใหม่

สำหรับคนต่างบ้าน ต่างเมือง ถ้าไปเชียงใหม่ ไม่ได้นั่งกินขันโตก ก็รู้สึกเหมือนไม่ถึงบรรยากาศแบบเมืองเหนือจริงๆ ครับ

การ "ตะลอน" ไปเชียงใหม่ ผมได้มีโอกาสแวะเวียนไปทานขันโตก โดยการนำของคุณเพื่อนคนเดิม ที่ "คุ้มขันโตก" ครับ ซึ่งบรรยากาศเป็นไงนั้น ลองไปดูกันครับ

.
เมื่อไปถึง เราก็จะเจอกับ น้องพนักงาน ใส่ชุดไทย แบบนี้ มารินน้ำ Welcome Drink ให้กับลูกค้าที่แวะผ่านไป ผ่านมากันครับ


คำว่า "คุ้ม" นั้น จริงๆ ทางเมืองเหนือ หมายถึง บ้านผู้หลัก ผู้ใหญ่ หรือบ้านเจ้านายครับ มีอาณาบริเวณกว้างขวาง จะเรียกกันว่า "คุ้ม"


และ การไป "คุ้มขันโตก" นั้น เพื่อนแนะนำว่า ให้ไปซักประมาณ 17:00 กำลังดีครับ เพราะไปช่วงนั้น เป็นช่วงที่นั่งทานอาหารได้เหมาะสุด
เพื่อนให้เหตุผลว่า ช่วงนั้น จะไม่มีการแสดงครับ และเราก็นั่งทานไป คุยกันไป พอเริ่มอิ่ม ก็จะเป็นช่วงเริ่มการแสดงพอดี


บรรยากาศภายในร้าน มี 2 แบบครับ คือ นั่งกับเบาะ หรือนั่งกับโต๊ะ เก้าอี้ ธรรมดา ซึ่งส่วนใหญ่ หากเป็นลูกค้าทั่วไป ทางคุ้ม ก็จะแนะนำให้เรานั่งกับเบาะครับ ซึ่งแน่นอนว่า ถึงจะไม่บอกเราก็มา ^_^


เมื่อนั่งซักพัก ก็จะมีกล้วยทอด และน้ำซุบ ข้าวเหนียว มาเสริฟรอไว้ก่อนครับ


หลังจากนั่นอีกอึดใจ ก็จะมีชุดขันโตกแบบนี้ ยกมาให้ครับ ซึ่งก็จะมีทั้งอาหารแบบเมืองเหนือ และอาหารทั่วไป อาหารบนขันโตก จะสามารถเติมได้ตลอดเวลานะครับ คือเมื่อทานอะไรหมด พนักงาน ก็จะเอามาเติมให้


คุณเพื่อนแนะนำอาหารเหนือ และให้เราทดลองชิม โดยรวมถือว่าอร่อยมากครับ แต่ที่อร่อยสุดสำหรับผม คงจะเป็นไก่ทอดนี่ละครับ ที่เติมแล้ว เติมอีก หลายรอบเลยทีเดียว ^_^ ซึ่งอาจจะฉีกจากการนั่งทานอาหารเหนือไปซักนิด


พอราวๆ หนึ่งทุ่ม การแสดงก็เริ่มขึ้นครับ ซึ่งการแสดงก็มีไม่น้อยเลย เน้นไปทางการแสดงแบบเมืองเหนือ ไม่ว่าจะเป็นระบำกลอง ระบำดาบ หรือ การฟ้อน ซึ่งช่วงนี้ ถือว่าโชคดีที่คุณเพื่อนแนะนำให้เราไปทานกันตั้งแต่ 17:00 เพราะช่วงนี้ เราอาจจะไม่มีเวลาละสายตาไปนั่งทานอาหารได้อีกเลย



ผมแนะนำว่า หากไปเชียงใหม่แล้ว ควรจะเตรียมโอกาสให้กับมื้อเย็นซักมืิ้อสำหรับการนั่งทานอาหารที่ "คุ้มขันโตก" ซึ่งรับประกันได้ว่า คุ้มกับที่เสียเงินแน่นอนครับ


ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Food Review] ผัดไทสไตล์แปลก กับ ชุติภรณ์ผัดไทต้มยำ เชียงใหม่

พามากินไกลๆ ถึงเชียงใหม่ครับ กับผัดไทเมนูแปลก ที่บอกว่าแปลกเพราะที่นี่ มีผัดไท ให้เลือกมากมายหลายแบบครับ 

ยามเที่ยงหลังจากแวะไปชมและสักการะ "พระธาตุดอยสุเทพ" แล้ว ก็ได้เวลาหิวพอดีครับ คุณเพื่อนไกด์กิตติมศักดิ์จำเป็น ก็พาเราแวะมาชิมผัดไทที่ร้าน "ชุติภรณ์ผัดไทต้มยำ" ซึ่งหากดูจากด้านนอก ก็จะเป็นร้านอาหารธรรมดาทั่วๆ ไปครับ มีป้ายสีเหลืองใหญ่ชัดเจนติดไว้ที่หน้าร้าน ที่นี่ มีเมนูผัดไทหลากหลายแบบให้ได้เลือกกันครับ แต่วันนี้ เราทานกันแค่ไม่กี่รายการ เพราะว่า เหนื่อยจากการเดินชมพระธาตุฯ


จานแรกที่ได้ลิ้มลองกัน เป็นผัดไท พะโล้ครับ ซึ่งใช้น้ำพะโล้ผัดกับเส้น ปรุงรสแบบผัดไท เสริฟพร้อมไข่พะโล้ และแคปหมูแบบไร้มัน รสชาติทานง่ายครับ หอมกลิ่นพะโล้ผสมเครื่องผัดไท


เมนูถัดมากับสุดยอดเมนู ที่เราได้ลองชิม ก็คงหนีไม่พ้น ผัดไทต้มยำกุ้งห่อไข่ ที่เป็นชื่อร้านนี่ละครับ เป็นผัดไทผสมกับเครื่องต้มยำ ห่อไข่ และปิดหน้าด้วยกุ้งสดปรุงรส และเสริมด้วยกุ้งแห้ง ผักชีฝรั่งหั่นฝอย ช่วยชูให้กลิ่นและรส เด่นขึ้นด้วยรสของต้มยำเต็มๆ ครับ เป็นเมนูที่ขอแนะนำเลยว่า หากไปทาน ควรสั่งมาลอง


และปิดท้ายด้วย ปลาหมึกแห้ง แบบทานกับข้าวต้ม เสริฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดครับ ซึ่งหากให้สารภาพตามตรง บอกเลยว่า ที่สั่งเพราะเมนูเขียนว่าปลาหมึกอะไรซักอย่างแต่จำชื่อไม่ได้แล้วครับ แหะ แหะ เลยอยากรู้ แล้วก็จัดมาหนึ่งจาน

นอกจากนี้แล้วก็ยังมี ผัดไทกระเพราไข่เยี่ยวม้า ผัดไทเขียวหวานไก่ ผัดไทผัดเผ็ดหมูหมัก และอื่นๆ อีกหลายเมนู ซึ่งหากแวะมาเชียงใหม่ แนะนำให้ไปลองครับ ร้านนี้อยู่ที่ ถ.สุเทพ ตรงกาดหลัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครับ ซึ่งตำแหน่งที่ชัดเจน สารภาพบาปว่า ลืมจดพิกัด GPS มาครับ 555

หากได้ไปแวะเวียนอีก จะจดตำแหน่งมาให้นะครับ ^_^

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Food Review] อาหารอีสานปะทะขนมตะวันตก ที่ Zaab Cafe

ถือว่าเป็นครั้งที่สองที่ได้มาแวะเวียนมา ร้านอาหารน่ารักๆ ที่เสริฟคุณด้วยอาหารอีสาน และขนมหวานแบบตะวันตก ที่ Zaab Cafe ครับ


ภายในร้านตกแต่งไว้แบบให้ความรู้สึกสบายๆ ครับ มีมุมน่ารักๆ ให้ถ่ายภาพเล่นได้


วันนี้ พวกเราไปนั่งกันช่วงเย็นติดค่ำครับ คุณน้องชวนมาทานอาหาร ในฐานะที่นานๆ จะโผล่กลับมาภูเก็ตซักที !!!


อาหารจานแรกที่นำเสนอครับ "ยำผักคะน้า" รสชาติอาหารออกแนวกลางๆ ครับ คือ ไม่เผ็ดจัด เค็มเปรี้ยว กำลังดีครับ


ส่วนจานถัดมาเป็น "ลาบปีกไก่ทอด" อันนี้ จะติดเผ็ดไปซักนิด เค็มไปซักหน่อย 555 แต่หากทานกับข้าวเหนียว หรือผักเครื่องเคียง ก็ถือว่ารับได้อยู่ครับ


เมนูนี้ ถือว่า "เด็ด" ครับ กับส้มตำแบบ Zaab Cafe ส่วนประกอบหลักเหมือน ส้มตำไทย นี่ละครับ แต่เพิ่มข้าวโพดต้ม และเนื้อกุ้งสดลงไป ซึ่งข้าวโพด จะเพิ่มความหวานหอมให้กับส้มตำได้อย่างดีครับ


มาถึงส่วนของเมนูของหวานบ้าง เมนูแรก กับ วาฟเฟิลสตอร์เบอรี่ อันนี้ถือเป็นเมนูที่แนะนำมากๆ ครับ ใช้วาฟเฟิล 4 ชิ้น ราดด้วยซอสสตอร์เบอรี่ วางทับด้วยเนื้อสตอร์เบอรี่หั่นบาง และปิดหน้าด้วยวิปปิ้งครีม โรยด้วยอัลมอลเพิ่มความหอมให้กับวาฟเฟิล


ซึงถือว่าดีตรงที่ มากัน 4 คน ได้ลิ้มรสกันคนละชิ้นพอดี ^_^ ไม่ต้องแย่งกันครับ


เมนูถัดมา เป็นไอศครีมผลไม้ครับ ออ .. ต้องเรียกให้ดูหรูหน่อย ฟรุตไอศครีม  ^_^ อัยย๊ะ อันนี้ เป็นไอศครีมสตอร์เบอรี่ 1 สกูป รองด้วยกล้วยหั่น ปิดหน้าด้วย กีวี่ สตอร์เบอรี่ และเม็ดอัลมอลหั่น


ตบท้ายแล้วครับ กับ "มาการอง ฮันนี่โทส" ที่เห็นในภาพ อยากบอกว่า ของจริง "ใหญ่มาก.ก..." ไม่แนะนำให้สั่งทานคนเดียวครับ เพราะไม่หมดแน่นอน เป็นขนมปังหนาๆ ด้านในนุ่ม ด้านนอก บางกรอบ ราดด้วย ไอศครีม มาการอง และตกแต่งด้วยวิปปิ้งครีม และ เวเฟอร์

เมนูนี้ มาตาย ก็ตรงที่เสริฟมาพร้อมกับ ไอศครีมชาเขียว เพราะหากคนไม่คุ้นกับรสชาติของชาเขียวแล้วละก็ เหมือนฝันร้ายในฮันนี่โทสเลยทีเดียวครับ

สำหรับราคา ถ้าเป็นอาหารอีสาน ถือว่าไม่แพงครับ เฉลี่ยอยู่ที่ 59-69 บาท แต่ขนมหวานนี่ ติดราคาสูงอยู่เหมือนกันครับ

นอกจากนี้ ยังมีกาแฟแบบต่างๆ ให้ชิมกันด้วยครับ แต่เราไปกันตอนเย็นติดค่ำแล้ว เลยไม่ได้ทดลองว่า เป็นอย่างไร หากมีโอกาสแวะเวียนมาภูเก็ต แนะนำให้ไปลิ้มลองครับ เพราะบรรยากาศและบริการดีมาก รสชาติอยู่ในระดับดีครับ ราคาก็ถือว่าพอเหมาะ พอควรครับ

ว่าแล้วก็จิ้มแผนที่กันเลย ^_^



ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Food Review] ตะลุยถนนนิมมานเหมินทร์ กับร้าน "คั่วไก่ นิมมาน"

หลังจากที่คุณเพื่อนเจ้าของเพจภาพสวยๆ อย่าง Check in Chill Out รู้ว่าพวกเรา ตะลอน กันมาถึงเชียงใหม่ และกำลังเตร็ดเตร่อยู่แถวนิมมาน ก็แนะนำมาว่า อย่าพลาดลองของเด็ด กับ "คั่วไก่ นิมมาน" เจอแนะกันแบบนนี้ ไม่มีพลาดครับ


แต่พอมาถึง เจอเมนู "ข้าวซอย" ผมเลยปันใจสั่ง "ข้าวซอย" มาก่อนเลยครับ ซึ่งเมนูนี้ไม่ผิดหวังครับ เครื่องแกงหอมกำลังดี แต่ทีเด็ดของจานนี้ ผมกลับยกให้กับเครื่องเคียงอย่าง ยำผักกาดดองที่วางข้างๆ ครับ เพราะไม่มีรสเค็มจัด เปรี้ยวจัดแม้แต่น้อย แต่มีความหวานอ่อนๆ และเผ็ดเบาๆ เข้ากันกับข้าวซอยได้เป็นอย่างดีครับ


เมนู ถัดมา คุณภรรยาผม มุ่งมั่น กับคำแนะนำเป็นอย่างดีครับ กับเมนู "ก๋วยเตี๋ยว คั่วไก่" ถ้าดูผิวเผินแบบนี้ น่าจะบอกว่า มันเป็นก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊วครับ แต่จุดเด่น น่าจะอยู่ที่เสิรฟมาบนกะทะร้อน ที่ทำให้ได้กลิ่นไหม้อ่อนๆ ของเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่กลับทำให้รู้สึกหอมน่าทานมากขึ้นกว่าเดิมครับ ยิ่งประกอบกับไข่ดาว สวยๆ แปะบนหน้าแบบนี้แล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกพิเศษขึ้นไปอีกครับ

สำหรับรสจะกลางๆ ครับ เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรุง ปรับเปลี่ยนตามแบบของตัวเองครับ


ถัดมาเป็นรายการออเดิร์ฟครับ กุ้งห่อเกี๊ยวทอด เสริฟคู่กับน้ำพริกหนุ่ม แต่หากถามความเห็นส่วนตัว ยังไม่ค่อยจะโดนเท่าไหร่ เพราะยังให้ความรู้สึกขัดกันของน้ำจิ้ม และกุ้งห่อเกี๊ยวครับ


อีกรายการหนึ่ง ก็จะเป็นสะเต๊ะหมูครับ ซึ่งอันนี้ ก็ให้กลางๆ เหมือนกัน เพราะหมูแห้งมากไปนิด บวกกับ เครื่องเคียงและน้ำจิ้ม ที่รสชาติไม่โดดเด่นเท่าไหร่


สรุปภาพรวม ผมว่า เป็นร้านที่มี อาหารจานหลัก ที่มีรสชาติน่าสนใจมากครับ ซึ่งหากมีโอกาสแวะเวียนมาแถว นิมมาน ซอย 17 ก็แนะนำให้ลองแวะเวียนเข้ามาชิมกันดูครับ ถือเป็นอีกร้านที่มีลูกค้าเข้าร้านเยอะมากอีกร้านหนึ่งทีเดียวครับ ^_^



ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

[Food Review] ตะลุยถนนนิมมานเหมินทร์ กับร้าน iberry

มาถึงเชียงใหม่ ถนน เส้นที่คนมาแล้วกล่าวถึงสุดๆ คงหนีไม่พ้น ถนนนิมมานเหมินทร์ ครับ ซึ่งแน่นอนว่า รอบนี้ ได้มีโอกาสตะลอนมาถึงเชียงใหม่ เราก็ตรงเข้าไปหาที่พักแถบถนนย่านนี้เลยทีเดียว

หลังจากที่งัดตัวเองออกจากที่นอนในเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็เดินเตร็ดเตร่กันมาที่ร้าน iberry กันก่อนเลยครับ


เมื่อมาถึง จะเจอกับตุ๊กตาที่เห็นก็รู้ยี่ห้อ ของ "โน๊ต อุดม" ครับ ยืนตัวโตอยู่หน้าร้าน พร้อมบรรยากาศให้นั่งสบายๆ ทั้งแบบห้องแอร์ และแบบสวน


ที่นี่ ถ้าพูดถึงตัวหลัก คงจะเป็น ไอศครีมแบบโฮมเมด เป็นตัวชูโรงครับ แต่ก็มีอย่างอื่นเสริมอยู่บ้าง


ภายในจัดแต่งไว้สวย กึ่งหรู ครับ นั่งสบายๆ



สั่งของกิน 3 รายการสนนราคา 300 ครับ ก็ติดแพงไปหน่อย


รายการแรกเป็น Jelly Fruit Time ครับ เป็นไอศครีม ผสมกับผลไม้สด ราดด้วยเยลลี่สีแดงด้านบน ถ้วยไม่โตมาก ราคาอยู่ที่ 145.- ครับ


ถัดมาเป็น Choc Caramel Trifle สนนราคาที่ 70.-


ข้อเด่นของที่นี่ มีงาน Art ให้ชมรอบบริเวณครับ ซึ่งก็ต้องบอกว่า Art แบบ คุณโน๊ต อุดม เพราะลายเส้นแบบนี้ และเอกลักษณ์แบบนี้ มันสวยได้อย่างน่าประหลาดใจครับ ทุกมุม มันลงตัวกันได้มากๆ ครับ


ยิ่งจุดนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ ตรงที่ ถ้าเป็นร้านทั่วไปมีเขียนบนปูนแบบนี้ ต้องให้ความรู้สึกว่า ไม่มีการตรวจงานร้านหรือยังไง แต่ก็สามารถขีดเขียนได้ลงตัวกับองค์ประกอบร้านครับ


ด้านนอก ก็มีมุมให้ถ่ายภาพด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นจุดขายที่ดีครับ


แต่หากให้สรุปจริงๆ ก็ต้องบอกว่า เราจะมาทำอะไรที่ iberry หากคุณตั้งใจจะมาทานไอศครีมรสเลิศ หรือ ขนมหวานสุดคลาสสิคละก็ ผมคงไม่ไปแล้วละครับ (แรงไปไหม) เพราะว่านอกจากจะแพงแล้ว ยังหาอะไรที่เป็นจุดเด่นของอาหารไม่ได้เลย ประเภทที่บอกว่า มากินเถอะ สุดยอด หาทานที่ไหนไม่ได้ เลิกคิดครับ ....

แต่หากบอกว่า วันนี้ จ่ายเงิน มานั่งกินงาน Art ก็ถือว่า ok ในระดับหนึ่งครับ

วิจารณ์แรงไปซักหน่อย แต่ก็รู้สึกแบบนี้จริงๆ นะครับ นี่ยังไม่รวมเรื่องของ พนักงานหน้าบึ้ง อย่างที่ Post กันใน foursquare ด้วยอีกอย่าง .... ผมว่า ถ้าจะให้ขายในชื่อของ iberry ไม่ใช่ "โน๊ต อุดม" คงต้องปรับกันอีกหลายเรื่องแล้วละครับ

ขออภัยจริงๆ ที่จัดแรงกันไปครับ  ^_^